Wednesday, 15 January 2025

ผลตรวจอาวุธปืนคนร้ายชี้ชัด เคยก่อเหตุฆ่าโหด 3 พ่อลูกตระกูลกิตติประภานันท์ และเหตุสะเทือนขวัญอีกจำนวนมาก(มีคลิป)

ตามที่ได้เกิดเหตุการณ์เจ้าหน้าที่ 3 ฝ่ายเข้าบังคับใช้กฎหมายกับกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ ต.ละหาร อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เมื่อ 20 ม.ค.65 เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ 1 นาย ผู้ก่อเหตุรุนแรงเสียชีวิต 2 ราย คือ นายมารวาน มีทอ และนายรอซาลี เจะเลาะ มีหมายจับรวมกัน 14 หมาย ตรวจยึด ปืนเล็กยาว AK 47 และ AK 102 อย่างละ 1 กระบอก และลูกระเบิดขว้างแบบ 88 จำนวน 1 ลูก

สำหรับอาวุธปืน(AK 102) อยู่ในความคุมครองของนายรอซาลี เจะเลาะ ผกร.ตามหมายจับ ป.วิอาญา  8 หมาย

ส่วนอาวุธปืนเล็กกล (AK 47) อยู่ในความคุมครองของ มารวาน มีทอ มีหมาย ป.วิอาญา 3 หมาย

สำหรับนาย มารวาน มีทอ  และนายรอซาลี เจ๊ะเลาะ  มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ฆ่าเผาโหดครอบครัวไทยพุทธกิตติประภานันท์ 3 ศพ เมื่อ 24 เม.ย.64 และยิงทหารพรานหญิงเสียชีวิต ขณะขับขี่ จยย.ประกบยิงดับคาเก๋งฮอนด้า แม่และลูกของผู้ตายเจ็บ ที่สายบุรี คือ สท.หญิงอนัสตาเซีย ดือมาลี สังกัดกรม.ทพ.44 อยู่บ้านเลขที่ 233 ถ.สายบุรี ต.ตะลุบัน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี เสียชีวิตภายในรถ และบาดเจ็บอีก 3 ราย ได้แก่ 1 นางเมาะแย อาแซ 2 ด.ญ.อิฟฟารา วามะ ลูกสาวของผู้ตาย 3 ด.ช.สารีฟ วามะ ลูกชายของผู้ตาย

 

ผลจากการตรวจหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์พบว่าทั้ง2กระบอกเคยใช้ในการก่อเหตุมาแล้ว11คดีมีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตรวม 16 ราย ประกอบด้วย อาวุธปืน AK 102 ของคนร้ายได้ถูกปล้นมาจากฐานปฏิบัติการชุดคุ้มครองหมู่บ้านกะรุบี อ.กะพ้อ จ.ปัตตานี เมื่อปี 2555 หลังจากนั้นได้ถูกนำไปใช้ก่อเหตุความรุนแรงเรื่อยมาถึง 7 คดี ทั้งเหตุกระทำต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์และเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะเหตุการณ์ประกบยิงและจุดไฟเผา 3 พ่อลูกตระกูลกิตติประภานันท์บนถนนสาย 42 จนเสียชีวิตอย่างโหดเหี้ยมในเขตพื้นที่อำเภอสายบุรี จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 24 เม.ย.64  ส่วนอาวุธปืน AK 47 พบว่า ใช้ก่อเหตุมาแล้ว 4 คดีตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน

จากประวัติและพฤติกรรมของคนร้ายรวมทั้งผลการตรวจหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์มีหลักฐานบ่งชัดว่าผู้เสียชีวิตทั้ง2รายเคยก่อเหตุความรุนแรงที่สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินทั้งของเจ้าหน้าที่รัฐและพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน “ไม่ได้เป็นผู้บริสุทธิ์ซึ่งถูกเจ้าหน้าที่กดดันให้ต้องเป็นโจรดังที่เครือข่ายแนวร่วมพยายามบิดเบือนในสื่อโซเชียลแต่อย่างใด”

กอ.รมน.ภาค4สน.ขอแสดงความเสียใจกับทุกความสูญเสียที่เกิดขึ้นโดยขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ได้ใช้ดุลยพินิจและความพยายามในการบังคับใช้กฎหมายด้วยความระมัดระวังโดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักเพื่อนำคนร้ายเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายโดยไม่ต้องการให้เกิดความสูญเสียแต่อย่างใด แต่เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องตอบโต้เพื่อป้องกันตนเองเท่านั้น ทั้งนี้ กอ.รมน.ภาค4สน.ยังคงยึดมั่นในเจตนารมย์ของการแก้ปัญหาในเชิงสันติวิธีที่พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้เห็นต่างจากรัฐเข้ารายงานตัวแสดงตนเพื่อเข้าต่อสู้ตามกระบวนการยุติธรรม โดยสามารถแจ้งผ่านผู้นำในพื้นที่ บุคคลที่ไว้วางใจหรือแจ้งผ่านสายด่วนแม่ทัพภาคที่4:061-1732999ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

—————————–